ผู้มีให้คำนิยามคำว่า “กฎหมาย” ไว้หลายความหมาย ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมใน แต่ละยุคสมัย แต่โดยนัยแห่งความหมายแล้วคล้ายคลึงกัน เช่น กฎหมาย คือ
1. คำสั่งของผู้ปกครองว่าการแผ่นดิน ต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามแล้วตามธรรมดาต้อง
รับโทษ
2. ข้อบังคับของรัฐซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูก
ลงโทษ
3. ข้อบังคับของประเทศซึ่งใช้บังคับความประพฤติของพลเมือง ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามย่อมมีความผิดและย่อมถูกบังคับทำโทษ
4. คำสั่งซึ่งหมู่ชนยอมรับรองโดยตรงหรือโดยปริยาย และประกอบขึ้นด้วยมวลข้อบังคับ ซึ่งหมู่ชนเห็นว่าสำคัญ เพื่อความผาสุกของตน และพร้อมที่จะให้มีการบังคับเพื่อให้ปฏิบัติตาม
5. การแสดงออกของเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชน ซึ่งทุกคนมีสิทธิเข้าร่วมด้วยตนเองหรือโดยผ่านผู้แทนของตนในการสร้างกฎหมาย และใช้บังคับกับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครอง การป้องกันหรือการลงโทษ
6. เครื่องมือที่รับรองผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองในการที่จะรักษาสภาพไม่เท่าเทียมกันในสังคม เพื่อผลกำไรของชนชั้นตน
นิยามคำว่า กฎหมาย ในข้อ 1-3 มีความคล้ายคลึงกันมากคือเป็นคำสั่งของรัฐาธิปัตย์หรือผู้มีอำนาจที่ใช้ควบ คุมความประพฤติของมนุษย์หรือราษฎรทั้งหลาย เป็นคำนิยามที่มาจากแนวความคิดของปราชญ์หลายท่านในช่วงศตวรรษที่ 17-19 เช่นThomas Hobbes(1588-1679) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบิดาทฤษฎีการเมืองสมัยใหม่ก็สอนว่า “มนุษย์ในสภาวธรรมชาติอยู่ในสภาพที่ทุกๆคนทำสงครามกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะธรรมชาติเช่นนี้มนุษย์จึงหันมาทำสัญญาที่จะอยู่ร่วมกัน เป็นสังคมและยอมอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของรัฐาธิปัตย์โดยปราศจากเงื่อนไข และยอมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ถืออำนาจปกครองนั้นโดยสงบ กฎหมายหรือมาตรการความประพฤติของมนุษย์ก็คือ สิ่งที่ผู้ถืออำนาจปกครองกำหนดขึ้นและบังคับให้ทุกคนปฏิบัติตามนั่นเอง” หลังจาก Hobbes แล้ว ในช่วงต่อมา John Austin (1790-1859 )นักปราชญ์ชาวอังกฤษก็มีความคิดในทำนองเดียวกัน โดยให้คำนิยามว่า กฎหมายคือ (Deliberately made)
พิเคราะห์จากแนวความคิดของปราชญ์ในช่วงศตวรรษที่ 17-19 ที่เกี่ยวกับกฎหมายเราจะพบว่า การยอมรับให้รัฐาธิปัตย์หรือผู้มีอำนาจออกกฎหมายมาใช้บังคับนั้นจะมีลักษณะ สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมในยุคนั้นที่ซึ่งความเป็นจริง ในทางการเมืองสังคมอยู่ภายใต้ระบบการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์(Absolute Monarch – Monachie Absolue)และในทางเศรษฐกิจลัทธิเสรีนิยมเริ่มก่อตัวท่ามกลางเศรษฐกิจพาณิชญ์ นิยมหรือลัทธิพาณิชญ์นิยม (Mercantilisme) ซึ่งต้องการความเป็นเอกภาพและความมั่นคงในสังคมเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจของเอกชนและรัฐ
นอกจากอิทธิพลแนวความคิดของHobbes แล้ว แนวความคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของกฎหมายของ John Locke ก็มีบทบาทสำคัญในการให้นิยามกฎหมายในช่วงต่อมาซึ่งจะปรากฏในข้อที่ 4 -5 ที่ว่า กฎหมายคือคำสั่งที่หมู่ชนยอมรับรองโดยตรงหรือโดยปริยาย...............และ พร้อมที่จะให้มีการบังคับเพื่อปฏิบัติตาม และกฎหมายคือการแสดงออกของเจตนารมณ์ร่วมกันของ ประชาชน...........................และใช้บังคับกับประชาชนทุกคนอย่างเท่า เทียมกันไม่ว่าจะเป็นการป้องกันหรือการลงโทษ
ขณะที่ T.Hobbes เห็นว่าโดยธรรมชาติมนุษย์จะทำสงครามกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและให้สังคมดำรงอยู่อย่างมั่นคงและ ปลอดภัย รัฐาธิปัตย์ในฐานะ “ ผู้มีอำนาจกลางสูงสุด ” จึงต้องออกคำสั่งหรือข้อบังคับใช้กับทุกคนในสังคม ตรงกันข้าม John Locke กลับมองในแง่ดีว่า มนุษย์นั้นมีลักษณะที่ดีติดตัวมา สามารถควบคุมตัวเองได้ เมื่อต้องอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและติดต่อสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดังนั้น กฎหมายหรือคำสั่งของรัฐาธิปัตย์จึงมรฐานะเป็นแนวทางกว้างๆหรือโครงร่าง ( Framework ) ที่กำหนดให้มนุษย์ได้รู้จักใช้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ซึ่งกฎหมายไม่ใช่เครื่องมือของรัฐาธิปัตย์ที่จะใช้ควบคุมความประพฤติของ มนุษย์ทุกย่างก้าว
John Locke เองไม่ได้ให้ความสำคัญต่อกฎหมายในแง่ของการบังคับแต่ให้ความสำคัญในฐานะที่ เป็น ( Framework ) ในการกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคมและความ สัมพันธ์ในการผลิต โดยรัฐาธิปัตย์มีหน้าที่เข้ามาช่วยเสริมความเป็นระเบียบในสังคมเพื่อให้ความ สัมพันธ์ดังกล่าวดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินส่วนบุคคล John Locke ถือว่าเป็นสิทธฺทางธรรมชาติที่มนุษย์ต้องการให้รัฐาธิปัตย์ปกป้องคุ้มครอง ด้วยกฎหมายรวมทั้งเรื่องของสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในการรับมรดกหรือกล่าวได้ว่าเป็นความต้องการของบุคคลที่จะให้รัฐ คุ้มครองป้องกันทรัพย์สินส่วนตัว
จากแนวความคิดของ John Locke และนิยามความหมายของกฎหมายในข้อ 4-5 เราจะพบว่ามันเป็นคำนิยามที่สอดคล้องกับสังคมเสรีนิยมโดยเฉพาะประเทศในยุโรป และอเมริกาซึ่งในทางการเมืองขณะนั้นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ( Democracy – Democratie ) ได้รับการต้อนรับจากประชาชนในประเทศเสรีนิยมอย่างกว้างขวาง ขณะที่เศรษฐกิจระบบทุนนิยมก็ขยายขอบเขตปริมณฑลออกไปอย่างรวดเร็ว
คำนิยามสุดท้ายที่ว่า “ กฎหมายคือ เครื่องมือที่รับรองผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองในการที่จะรักษาสภาพที่ไม่ เท่าเทียมกันในสังคม เพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นตน ” เป็นความหมายที่ได้รับอิทธิพลทางอุดมการณ์และทรรศนะสังคมนิยมที่เห็นว่าใน สังคมหนึ่งๆ ประกอบไปด้วยชนชั้นทางสังคมต่างๆและชนชั้นหนึ่งในสังคมคือชนชั้นปกครองที่มี อำนาจอยู่ในมือจะออกกฎหมายมาบังคับใช้บุคคลทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของชนชั้น ปกครอง ดังนั้น ถ้านายทุนปกครองประเทศกฎหมายที่ออกมาจะมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาผลประโยชน์ ของชนชั้นนายทุน
นิยามคำว่ากฎหมายทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมา แม้ว่าจะเกิดจากแนวความคิดอิทธิพลทางอุดมการณ์และเงื่อนไขความเป็นจริงทาง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่แตกต่างกัน แต่โดยวัตถุประสงค์และวิธีการออกกฎหมายมาใช้บังคับก็ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะ “ กฎหมายจะถูกจัดทำโดยผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือองค์กรมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของ บุคคลในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและบุคคลของรัฐ ถ้ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ย่อมถูกลงโทษ”
ความสำคัญของกฎหมาย
ในสังคมของมนุษย์นั้นมีสมาชิกจำนวนมากที่มีความแตกต่างกัน ทั้งด้านความคิดเห็นและพฤติกรรมต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีกฎระเบียบหรือกติการ่วมกัน เพื่อเป็นบรรทัดฐานสำคัญในการควบคุมความประพฤติของมนุษย์ และช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับสังคม ไม่ให้เกิดความวุ่นวาย กฎหมายมีความสำคัญต่อสังคมในด้านต่างๆ ดังนี้
1. กฎหมายสร้างความเป็นระเบียบและความสงบเรียบร้อยให้กับสังคมและประเทศชาติ เมื่ออยู่รวมกันเป็นสังคมทุกคนจำเป็นต้องมีบรรทัดฐาน ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติยึดถือเพื่อความสงบเรียบร้อย ความเป็นปึกแผ่นของกลุ่ม
2. กฎหมายเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ พลเมืองไทยทุกคนต้องปฏิบัติตนตามข้อบังคับของกฎหมาย ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องได้รับโทษ กฎหมายจะเกี่ยวข้องกับ การดำรงชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
3. กฎหมายก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม คนเราทุกคนย่อมต้องการความ ยุติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น การที่จะตัดสินว่าการกระทำใดถูกต้องหรือไม่นั้น ย่อมต้องมีหลักเกณฑ์ ฉะนั้น กฎหมายจึงเป็นกฎเกณฑ์สำคัญที่เป็นหลักของความยุติธรรม
4. กฎหมายเป็นหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การกำหนดนโยบายพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปในทางใด หรือคุณภาพของพลเมืองเป็นอย่างไร จำเป็นต้องมีกฎหมายออกมาใช้บังคับ เพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมายของการพัฒนาที่กำหนดไว้ ดังจะเห็นได้จากการที่กฎหมายได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้น ฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยรัฐเป็นผู้จัดการศึกษาให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บ ค่าใช้จ่ายนั้น ย่อมส่งผลให้ คุณภาพด้านการศึกษาของประชาชนสูงขึ้น หรือการที่กฎหมายกำหนดให้ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ พิทักษ์ปกป้อง และสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ย่อมทำให้สังคมและสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนมีมาตรฐานดีขึ้น
ดังนั้น การที่ประเทศใดจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เป็นไปในแนวทางใดก็ตามถ้าได้ มีบทบัญญัติของกฎหมายเป็นหลักการให้ทุกคนปฏิบัติตาม ก็ย่อมทำให้การพัฒนา คุณภาพชีวิตของประชาชนประสบผลสำเร็จได้สูงกว่าการปล่อยให้เป็นไปตามวิถีการ ดำเนินชีวิตของสังคมตามปกติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น